วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

ทำอย่างไร..ให้มีความสุข







จัดอันดับยี่ห้อดังระดับโลก 'โค้ก' คว้าที่ 1


การจัดอันดับแบรนด์ดังระดับโลก โดย  "อินเตอร์แบรนด์" บริษัทที่ปรึกษาผลิตภัณฑ์แบรนด์ต่าง ๆ สัญชาติอเมริกัน เผยผลการจัดอันดับแบรนด์ดังระดับโลก
โดยในปีนี้อันดับ 1 เป็นตกเป็นของบริษัท โคคา โคลา หรือ "โค้ก" ด้วยมูลค่า 70,452 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 2 เปอร์เซ็นต์

อันดับ 2  ไอบีเอ็ม มูลค่า 64,727 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 7 เปอร์เซ็นต์

อันดับ 3 ไมโครซอฟต์เพิ่มขึ้นเท่ากัน 7 เปอร์เซ็นต์ มูลค่าอยู่ที่ 60,895 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

อันดับ 4 กูเกิล เสิร์ชเอนจิ้นยักษ์ใหญ่ มูลค่า 43,557 เพิ่มขึ้นมากที่สุดของตาราง 36 เปอร์เซ็นต์ (เดิมอยู่อันดับ 7)

อันดับที่ 5 จีอี หรือ "เจนเนอรัล อิเลคทริค" มูลค่า 42,808 ลดลง 10 เปอร์เซ็นต์ ( ตกลงมาจากเดิมอันดับที่ 4 )

อันดับ 6 แมคโดนัลด์

อันดับ 7 อินเทล

อันดับ 8 โนเกีย

อันดับ 9 ดิสนีย์

อันดับ 10 เอชพี หรือ ฮิวเล็ต เพคการ์ด

อันดับ 11 โตโยต้า

อันดับ 12 เมอซีเดส เบนซ์

อันดับ 13 ยิลเลตต์

อันดับ 14 ซิสโค

อันดับ 15 บีเอ็มดับเบิลยู

อันดับ 16 หลุยส์ วิตตอง

อันดับ 17 แอปเปิล

อันดับ 18 มาร์โบโร

อันดับ 19 ซัมซุง

อันดับ 20 ฮอนด้า

ที่มาของ "สัญลักษณ์รูปตาของอียิปต์โบราณ"


สัญลักษณ์รูปตาที่เรามักจะเห็นกันบ่อยๆ ในศิลปะของอียิปต์นั้น เป็นสัญลักษณ์แทนดวงตาของเทพเจ้าของอียิปต์ที่มีความสำคัญมากองค์หนึ่ง นั่นคือ เทพฮอรัส เทพเจ้าแห่งท้องฟ้าที่มีศีรษะเป็นนกเหยี่ยว มีดวงตาข้างหนึ่งเป็นดวงอาทิตย์ และอีกข้างเป็นดวงจันทร์ เราจึงเรียกสัญลักษณ์นี้ว่า ดวงตาของฮอรัส (Eye of Horus หรือ wedjat) ที่แทนด้วยดวงตาของมนุษย์ที่มีหางตาเป็นแบบของเหยี่ยว และมีลวดลายสัญลักษณ์รอบๆ ตาซึ่งบางครั้งก็มีหยดน้ำตาด้วย โดยที่คนอียิปต์โบราณจะออกเสียงเรียกสัญลักษณ์นี้ว่า “udjat”



ชาวอียิปต์โบราณนับถือดวงตาของฮอรัสเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องคุ้มครอง และยังได้รับการเปรียบว่าเป็นสัญลักษณ์ของความรอบรู้ สุขภาพดี และความมั่งคั่ง นอกจากนี้ คนโบราณยังเคารพดวงตาของฮอรัสเสมือนตัวแทนของอาณาจักรใหม่อันเป็นนิรันดร์จากฟาโรห์องค์หนึ่งไปสู่ฟาโรห์อีกองค์หนึ่ง โดยชาวอียิปต์เชื่อว่า สัญลักษณ์นี้มีพลังอำนาจมหาศาลและมีเวทมนตร์ที่ส่งผลต่อการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้กับโลกที่ไม่มีความมั่นคง และแก้ไขสิ่งที่ไม่เที่ยงธรรม รวมทั้งยังเชื่อว่า สัญลักษณ์ของสิ่งที่ไม่มีสิ่งใดทำลายได้นี้จะช่วยในการเกิดใหม่อีกครั้งด้วย


ทั้งนี้ ตามตำนานเทพโบราณ เทพฮอรัสเป็นโอรสของเทพโอซิริสและเทพีไอซิส ผู้ปกครองดินแดนลุ่มแม่น้ำไนล์ โดยมีเทพเซธคอยอิจฉาริษยาและพยายามหาทางแย่งชิงราชบัลลังก์ ต่อมาเทพเซธได้สังหารบิดาของเทพฮอรัสและแยกชิ้นส่วนไปทิ้งตามที่ต่างๆ ทั่วอียิปต์ ทั้งยังควักลูกตาของพระองค์ออกข้างหนึ่ง โดยมีเทพทอต เทพเจ้าแห่งความฉลาดรอบรู้ ผู้สนับสนุนศาสตร์ความรู้และศิลปะแห่งการเขียนเป็นผู้เก็บดวงตานั้นกลับมาและรักษาอย่างอดทนจนพระองค์หายดี และในที่สุดพระองค์ก็สามารถตามเก็บชิ้นส่วนของพระบิดากลับมาได้

ในปัจจุบัน สัญลักษณ์นี้ได้รับความนิยมไม่น้อยเลยทีเดียว บางคนก็สักรูปดวงตาของฮอรัสเพื่อความเป็นสิริมงคลตามความหมายดั้งเดิมของอียิปต์โบราณ ตลอดจนเครื่องประดับต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น แหวน สร้อย ต่างหูก็มีการออกแบบโดยใช้ดวงตาของฮอรัสเป็นต้นแบบอีกด้วย

"สวัสติกะ" กับความหมายที่แปรเปลี่ยน


ลักษณะธงนาซีเยอรมัน ตามที่คุณผู้อ่านทราบกันก็คือ ธงสีแดงมีเครื่องหมายสวัสติกะอยู่ตรงกลาง และถ้าจะให้เข้าใจลึกไปอีกคือ สวัสติกะ เป็นเครื่องหมายกากบาทที่ตรงส่วนปลายทำมุมฉากนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม สวัสติกะ ไม่ใช่เป็นตัวแทนของความโหดร้ายตามที่เข้าใจกัน เพราะแท้ที่จริงแล้วเครื่องหมาย "สวัสติกะ" เป็นเครื่องหมายแห่งมงคล ที่ปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์มายาวนานแล้ว



คำว่า "สวัสติกะ" มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤต ว่า "สุ" แปลว่า ดี ร่วมกับคำว่า "อัสติ" แปลว่า มี และ "กะ" หมายถึงอาคม และเมื่อเอาสามคำมารวมกันจีงเรียกได้ว่า สวัสดิกะ เป็นเครื่องหมายแห่งความโชคดี หรือเครื่องราง วัตถุมงคล

อย่างไรก็ตามความหมายของสวัสติกะถูกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงในช่วงต้นศตวรรษ ที่ 20 เมื่อกลายเป็นสัญลักษณ์ของพรรคนาซีในเยอรมนี และตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมาชาวตะวันตกส่วนใหญ่ก็มองว่า สัญลักษณ์นี้เป็นสัญลักษณ์ของเผด็จการ นำไปสู่ความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับความหมายของสวัสติกะ ในวัฒนธรรมอื่นๆ ด้วย


ความหมายที่แปรเปลี่ยนของ "สวัสติกะ" เป็นผลมาจากพรรคนาซี นำเครื่องหมายสวัสติกะมาใช้เป็นสัญลักษณ์ อย่างเป็นทางการในปี 1920 และบทบาทของพรรคภายใต้การนำของฮิตเลอร์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ทำให้ความหมายของสวัสติกะ เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ และมีอิทธิพลต่อการใช้สัญลักษณ์นี้อย่างแพร่หลาย

ส่วนสาเหตุที่ฮิตเลอร์นำ "สวัสติกะ" มาใช้เป็นสัญลักษณ์ เนื่องจากเชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์มีที่มาจากชนชาติอารยัน เผ่าพันธุ์ของเขาเอง ซึ่งฮิตเลอร์เชื่อว่าเก่งกล้าเหนือเผ่าพันธุ์อื่นๆ และ สวัสติกะเป็นสัญลักษณ์แห่ง "การต่อสู้เพื่อชัยชนะของชนชาติอารยัน"


ที่มา108ซองคำถาม

คุณเคยสังเกตุหรือไม่ว่าทุกคำคืน คุณนอนท่าไหน....

คุณเคยสังเกตุหรือไม่ว่าทุกคำคืน คุณนอนท่าไหน....
และท่านอนของคุณ บอกอะไรให้คุณบ้าง


1. กางแขนกางขา: ช่างรักอิสระเสรี อะไรขนาดนั้น ท่านอนบ่งบอก
ความเป็นตัวของตัวเอง อย่างแรง รักความสะดวกสบาย
รักสวยรักงาม จับจ่ายใช้สอย สุรุ่ยสุร่าย แต่ก็หาเงินเก่งพอๆ กัน
ที่แย่หน่อยคือ ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน และสนุกกับ การตั้งสโมสร ซะด้วยซิ...



2. นอนเอาขาไขว้กันแบบไขว่ห้าง: ท่านว่า คนที่นอนท่านี้
ไม่ค่อยกล้ายอมรับ ความเปลี่ยนแปลงใดได้ง่ายๆ แถมยังชอบ
หมกมุ่นอยู่กับ เรื่องของตนเอง รักที่จะอยู่คนเดียว
ข้อดีก็คือ ช่างมีน้ำอดน้ำทน กับเรื่องรอบๆ ตัวได้ดีจริงๆ






 3. นอนเอามือไพล่ประสานกัน รองศรีษะ: เขาว่า คนนอนท่านี้เป็นนิจ
เป็นคนฉลาด ปราดเปรื่อง ปัญญาเฉียบแหลม ชอบเรียนรู้ สิ่งใหม่ๆ ไม่รู้จบ
บางครั้ง ก็มีความคิด แปลก แหวกแนว ที่ชาวบ้านตามไม่ทัน เป็นคนน่ารัก
ที่ให้ความสนใจครอบครัว อยู่เสมอ... แต่มันสำคัญที่ว่า...
ช่างเป็นคนที่ รักคนยาก ซะเหลือเกิน... ช่างเลือกเกินไปหรือเปล่า ?






 4. นอนคว่ำ: ถ้านอนท่านี้ ได้ทั้งคืน ก็ให้รีบสำรวจได้แล้วว่า
เป็นคน ใจคอคับแคบ หรือเปล่า มักจะเอาแต่ใจตนเองเป็นใหญ่
และต้องการให้ ใครต่อใคร ทำตามความต้องการของตัวเองอยู่เสมอๆ
แถมยังเป็น คนสับเพร่า จับจดเสียด้วยนะ........รีบเปลี่ยนท่านอนซะเถอะ



5. นอนตะแคง: ท่านี้ เป็นท่านอนของคนที่ มีความเชื่อมั่นในตัวเอง
และไม่ว่าจะทำงานอะไร ก็มักจะก้าวไปสู่ความสำเร็จ
ด้วยความอุตสาหะ มานะ พยายาม อย่างสม่ำเสมอ
ยิ่งไปกว่านั้น ท่านว่า คนที่ชอบ นอนตะแคงขวา เหยียดแขนขวา
ไปเหนือศรีษะละก็... อำนาจ วาสนา ดีนักแล... ?




6. นอนตะแคงงอขาขึ้นข้างหนึ่ง: ไม่ดีละมั้ง... ท่านว่า
ขี้ระแวง สงสัยอยู่ไม่สร่าง โดยไร้เหตุผล จู้จี้ขี้บ่นไม่รู้เวลา นอกจากจะขาด
ความเป็นตัวของตัวเองแล้ว อาจจะพาลเป็น โรคประสาทได้ง่ายๆ.
.. ทั้งตัวเอง และคนข้างเคียงน่ะแหล่ะ!


7. นอนงอตัว: นี่ก็อีกคน... น่าจะเป็น คนขี้อิจฉาตาร้อน
กลัวใครเขา จะได้ดีไปกว่าตนซะหมด พูดง่ายๆ ก็คือ
ค่อนข้างจะเป็น คนเห็นแก่ตัวอย่างแรง แถมยัง เจ้าคิดเจ้าแค้น
ชอบพยาบาทรุนแรงด้วยนะ... ระวังหน่อย!



8. นอนทับแขนตัวเอง: คนนี้ตรงกันข้ามกับ คนนอนงอตัว ท่าที่ 7 เลย...
ช่างสุภาพอ่อนโยน! จริงใจ เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก อะไรจะปานนั้น...
แต่ดูเหมือน จะมีกรรมมาบัง เพราะเขาจะเป็นคนที่ ขาดความมั่นใจในตนเอง และขาดความอบอุ่นในชีวิต.. น่าสงสารนะ




9. นอนคุดคู้: เป็นคนขี้เหงาอย่างแรง ซึมเศร้าง่าย
เพราะไปฝังใจกับเรื่องเศร้าๆ เรืองผิดหวัง หรือสูญเสียในอดีต
 เป็นคนขี้ระแวง และมีความลังเล ไม่มั่นใจอยู่ตลอดเวลา
ทำให้รู้สึกว่า ขาดความรักความอบอุ่น.. เติมเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม


10. นอนคลุมโปง: เชื่อไหมว่า ภายนอก เขาคนนี้อาจจะดูผึ่งผาย
น่าเชื่อถือมาก แต่ลึกลงไปแล้ว เขาขี้อาย จิตใจอ่อนแอ...
เขาชอบมีความลับ และเก็บความลับเก่งด้วยนะ มีอะไร ก็จะแอบเก็บไว้ในใจ
 แล้วเก็บเอาไปกังวล วุ่นวายใจ วนเวียนอยู่กับปัญหานั้น คนเดียว ไม่รู้จบรู้สิ้นสักที...
ไม่รู้ว่า นอนขมวดคิ้วนิ่วหน้า ด้วยรึเปล่า ?



11. นอนเอามือจับอวัยวะเพศของตัวเอง: คนนี้มาแปลก... ท่านว่า
จะชอบหมกมุ่น อยู่ใน กามารมณ์ มีความต้องการทางเพศสูง
ใจร้อน โกรธง่ายหายเร็ว รักใครหลงใครละก็ เป็นได้หัวปักหัวปำ
แบบกู่ไม่กลับ ทั้งๆ ที่เป็น คนมีสติปัญญา เฉลียวฉลาด อยู่หรอกนะ




12. นอนละเมอ: จะซีเรียสอะไรกันได้ขนาดนั้น ก็ไม่รู้... เขาเป็นคนคิดมาก
 ยังฝังจิตฝังใจกับ เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ ไม่ยอมลีม...
 สังเกตดีๆ จะเห็นว่า เขาขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง
และจะคล้อยตามคนอื่นอยู่เสมอ... ถ้าเขาละเมอบ่อยมาก
 และรุนแรงขึ้นละก็ น่าจะเต ือน ให้เขาปรึกษาแพทย์ หรือผู้รู้ซะได้แล้ว




 13. นอนกัดฟัน: นี่ก็คนเก็บกด... โบราณว่า เป็นคนอาภัพ ซึ่งเขาอาจจะ
คิดไปเอง ก็เลยอมทุกข์ เก็บกดความทุกข์ไว้ในใจ
หน้าฉากอาจจะดูรื่นเริง แต่แอบไปนอนกัดฟันกรอดๆ ทุกคืน...
 ปล่อยวางซะบ้างเถอะ จะเอาอะไรกันนักหนากับชีวิต


14. นอนอ้าปาก: ชวนเขา ไปตรวจสุขภาพร่างกายบ้างเถอะ
เพราะ โบราณท่านว่า คนนอนท่านี้ มักจะมีโรคภัยเบียดเบียน
ให้สุขภาพไม่แข็งแรง เดี๋ยวจะพาลอายุไม่ยืนซะเปล่าๆ


15. นอนลืมตา: ถ้าไม่ได้เป็นผลมาจาก ทำตา 2 ชั้น ละก็
ท่านให้ระวัง จะถูกใส่ร้าย ใส่ความ หรืออาจจะ เกิด อุบัติเหตุได้
เตือนๆ ให้ระมัดระวัง รอบคอบ อย่าประมาท ก็แล้วกันนะ 





กระถางต้นไม้กับความพอดีในชีวิต


สมมติว่ามีกระถางต้นไม้อยู่ 2 ใบ ที่มีขนาดเท่ากัน

ใบแรกใส่ดินก้อนใหญ่

ส่วนใบที่สองใส่ดินที่ก้อนเล็กๆ
ถ้าใส่จำนวนก้อนเท่าๆกัน ถามว่ากระถางใบไหนจะเต็มก่อนกัน

         แน่นอนคำตอบที่ได้ก็คงไม่พ้นใบที่ใส่ดินก้อนใหญ่ จากนั้นใส่ดินให้เต็มทั้งสองกระถาง แล้วลองเติมน้ำลงไปเท่าๆกัน ถามว่าน้ำของกระถางใบไหนจะไหลออกจากก้นกระถางหมดก่อนกัน คำตอบที่ได้ก็คงจะไม่พ้นกระถางใบที่ใส่ดินก้อนใหญ่อีกเช่นเคย

แล้วลองมองกลับมาที่ตัวเรา ถ้าเปรียบชีวิตเป็นกระถาง เปรียบสิ่งของเครื่องใช้เป็นดิน เปรียบน้ำเป็นรายได้ของเรา

คุณคิดว่าได้อะไรจากข้อความข้างบน

แน่นอนว่าถ้าดินก้อนใหญ่ เราก็สามารถเติมเต็มชีวิตได้เร็ว แต่เงินทองที่เราหามาได้จะหมดไปอย่างรวดเร็ว ความชุ่มชื้นคงอยู่ได้ไม่นาน ต้องเทนำลงไปบ่อยๆเพื่อรักษาความชุ่มชื้นไว้ ต้องใช้น้ำเป็นจำนวนมาก กว่าจะหล่อหลอมให้ดินเป็นปึกแผ่นเป็นเนื้อเดียวกัน

แต่ถ้าดินก้อนเล็ก กว่าที่ดินจะเต็มกระถางอาจจะใช้เวลานานกว่า แต่น้ำที่เทลงไปจะคงอยู่ในกระถางได้นานกว่า รักษาความชุ่มชื้นไว้ได้นานกว่า โอกาสที่จะเป็นปึกแผ่น เป็นเนื้อเดียวกันสามารถทำได้ง่ายกว่า

ถ้าคนเรารู้จักประมาณตน ไม่ใช้สิ่งของที่เกินกำลัง(ไม่ยึดติดกับวัตถุ) ก็คงจะดี จริงมั้ย

ถ้าคิดจะใช้ดินก้อนใหญ่ ก็ต้องหาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ แต่ถ้าแหล่งน้ำเล็กก็คงจะเดือดร้อนแน่นอน

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

10 ประเทศที่มี 7-Eleven มากที่สุด


กลายเป็นแฟรนไชส์ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกแล้ว สำหรับ 7-Eleven แต่ประเทศที่มีสาขามากที่สุดกลับอยู่ในเอชียไม่ใช่ยุโรป

เซเว่น อีเลฟเว่น ถือกำเนิดขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2470 โดย บริษัท เซาท์แลนด์ ไอซ์ จำกัด (เซาท์แลนด์ คอร์ปอเรชั่น) เริ่มต้นกิจการผลิต และจัดจำหน่ายน้ำแข็ง ที่เมืองดัลลัส มลรัฐเทกซัส สหรัฐอเมริกา ในปีเดียวกัน ทางบริษัทฯ ได้นำสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ มาจำหน่าย เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า จึงเปลี่ยนชื่อเป็น Tote'm Store ต่อมาในปี พ.ศ. 2489 ได้เปลี่ยนชื่ออีกครั้ง เป็น เซเว่น-อีเลฟเว่น (7-Eleven) เพื่อรองรับการขยายกิจการนี้ ซึ่งในระยะแรก เปิดให้บริการ ตั้งแต่เวลา 07.00-23.00 น. ของทุกวัน อันเป็นที่มาของชื่อ เซเว่น อีเลฟเว่น นั่นเอง

ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษที่ 1980 บริษัทเริ่มประสบปัญหาทางการเงิน และได้รับความช่วยเหลือจากอิโต-โยคะโดซึ่งเป็นผู้ซื้อแฟรนไชส์รายใหญ่ที่สุด บริษัทญี่ปุ่นมีอำนาจควบคุมบริษัทในปี พ.ศ. 2534 ในปี พ.ศ. 2548 อิโต-โยคะโดก่อตั้งบริษัทเซเว่น แอนด์ ไอ โฮลดิงส์และเซเว่น อีเลฟเว่นก็กลายเป็นบริษัทลูกของเซเว่น แอนด์ ไอ โฮลดิงส์ตั้งแต่นั้นมา

ในส่วนของประเทศไทย แฟรนไชส์ เซเว่น อีเลฟเว่น บริหารโดย บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ บมจ.ซีพี ออลล์ (เดิมคือ บมจ. ซี.พี. เซเว่นอีเลฟเว่น) บริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยได้ลงนามในสัญญา ซื้อสิทธิการประกอบกิจการ จากเจ้าของสิทธิ์ เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2531

เซเว่น อีเลฟเว่น สาขาแรกในประเทศไทย คือ สาขาถนนพัฒน์พงศ์ ตั้งอยู่บริเวณหัวมุมถนนพัฒน์พงษ์ เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2532 ปัจจุบันมีจำนวนสาขาประมาณ 5,123 สาขา (ข้อมูล ณ วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2552) เฉพาะในกรุงเทพมหานคร มีมากกว่า 3,000 สาขา ซึ่งถือว่ามากเป็นอันดับ 4 รองจากญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และไต้หวัน ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังถือเป็นร้านค้าปลีกที่มีเครือข่ายมากที่สุด โดยมียอดขายเฉลี่ย 65,019 บาท ต่อวันต่อสาขาซึ่งเป็นธุรกิจที่ทำกำไรดีต่อวันมากที่สุดของประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 333,092,337 บาท รวม 5,123 สาขาทั่วประเทศ

สำหรับประเทศที่มี 7-Eleven มากที่สุดคือ
อันดับ 10 ประเทศสิงคโปร์ มี 435 สาขา
อันดับ 9 ประเทศแคนาดา มี 462 สาขา
อันดับ 8 ประเทศสหรัฐอเมริกา มี 586 สาขา
อันดับ 7 ประเทศเม็กซิโก มี 969 สาขา
อันดับ 6 ประเทศมาเลเซีย มี 1,013 สาขา
อันดับ 5 ประเทศจีน มี 1,440 สาขา
อันดับ 4 ประเทศเกาหลีใต้ มี 1,995 สาขา
อันดับ 3 ประเทศไทย มี 4,778 สาขา
อันดับ 2 ประเทศไต้หวัน มี 4,800 สาขา
อันดับ 1 ประเทศญี่ปุ่น มี 12,105 สาขา 

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

สำนวนแมว แมว



ที่เท่าแมวดิ้นตาย

           มีที่มาจากนิทานพื้นบ้าน เรื่อง "ศรีธนญชัย" ตอนที่ศรีธนญชัยกราบทูลขอที่ดินจากพระเจ้าแผ่นดิน ขอเพียงที่เท่าแมวดิ้นตายเท่านั้น พระเจ้าแผ่นดินเห็นว่าเป็นที่ดินเพียงเล็กน้อย จึงทรงอนุญาต ศรีธนญชัยได้ทีจึงเอาแมวตัวหนึ่งมาผูกเชือกที่คอ แล้วเฆี่ยนให้แมวดิ้นไปเรื่อย ๆ กว่าแมวตัวนั้นจะตายก็กินพื้นที่เป็นอาณาบริเวณกว้าง

           จากนิทานเรื่อง ศรีธนญชัย "ที่เท่าแมวดิ้นตาย" จะหมายถึง ที่ดินจำนวนมาก แต่ในการใช้เป็นสำนวน จะหมายถึง ที่ดินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

แมวไม่อยู่ หนูละเลิง

           อย่าคิดว่า เขียนผิด หรือสะกดผิดนะคะ คำว่า ละเลิง เป็นคำเก่าที่มีความหมายว่า เหลิงจนลืมตัว ลำพอง หรือคึกคะนอง แต่ในปัจจุบันมักจะใช้ "แมวไม่อยู่ หนูร่าเริง"

           สำนวนนี้หมายถึง เวลาที่ผู้ให่ไม่อยู่ผู้น้อยก็เล่นกันคึกคะนอง ลำพองตน ที่ว่าสำนวนนี้น่าสนใจก็เพราะว่า การเอาธรรมชาติของหนูที่กลัวแมวมาเปรียบเทียบ โดยเปรียบแมวเป็นผู้ใหญ่ เปรียบหนูเป็นผู้น้อยนั่นเอง และบางโอกาสสำนวนนี้ก็จะมีคำต่อท้ายสำนวนด้วย คือ "แมวไม่อยู่ หนูร่าเริง แมวมาหลังคาเปิง" นั่นคือเวลาผู้ใหญ่ไม่อยู่ ผู้น้อยก็เล่นกันอย่างเมามัน สนุกสนาน ครั้นผู้ใหญ่กลับมาก็ลนลาน รีบเก็บกวาดข้าวของและสถานที่ให้อยู่ในสภาพปกติ เสมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ฝากเนื้อไว้กับเสือ ฝากปลาย่างไว้กับแมว

           มีที่มาจากบทเสภาหลวงเรื่อง "ขุนช้าง-ขุนแผน" ตอนที่ขุนแผนทิ้งนางวันทองไว้กับขุนช้าง แล้วขุนแผนก็คิดว่า "เราฝากวันทองไว้กับขุนช้างเหมือนฝากปลาย่างไว้กับแมว" เพราะขุนช้างก็รักนางวันทองเช่นกัน ดังคำประพันธ์จากบทเสภาหลวงเรื่อง ขุนช้าง-ขุนแผน ดังนี้

           เนื้อตกถึงเสือหรือจะงด    อร่อยรสค่อยกินเป็นภักษา
           ทิ้งไว้ให้มันสองเวลา    เจ้าแก้วตานี้จะเป็นประการใด

           สำนวนนี้บางทีอาจใช้ว่า "ฝากอ้อยไว้กับช้าง ฝากปลาย่างไว้กับแมว" ก็ได้ทั้งสองแบบ เพราะทั้งสองแบบมีความหมายเหมือนกันคือ ฝากสิ่งใดไว้กับผู้ที่ชอบสิ่งนั้น ย่อมสูญเสียให้กับผู้นั้นไป

หุงข้าวประชดหมา ปิ้งปลาประชดแมว

           มีความหมายว่า การทำประชดหรือแดกดันที่ผู้ทำรังแต่จะเสียประโยชน์ ตัวอย่างเช่น คุณยกสมบัติให้เขาไปแบบนี้ เหมือนหุงข้าวประชดหมา ปิ้งปลาประชดแมว เขายิ่งชอบใจ เอาไปถลุงใช้เพลินไปเลย เป็นต้น

           สำนวนนี้มีที่มาจากความจริงที่ว่า โดยทั่วไปแล้ว หมาชอบข้าว และแมวก็ชอบกินปลา ดังนั้น เมื่อหุงข้าวหรือปิ้งปลาให้ ทั้งหมาและแมวก็กินเสียเพลิน มีความสุข แต่คนหุงคนปิ้งกลับเสียของเอง เปรียบเหมือนเราโกรธใครแล้วให้ในสิ่งที่ผู้นั้นขอเพื่อเป็นการประชดแดกดัน ก็เท่ากับเข้าทางเขา และผู้ที่เสียประโยชน์ก็คือตัวเราเอง เพราะไหนจะไม่หายโกรธแล้ว ยังต้องเสียของไปอีก

           เรียกว่าเป็นการประชดแดกดันอย่างไม่ถูกทาง และทำให้เสียหายเพิ่มขึ้น ดังเช่นคำประพันธ์จากสุภาษิตคำโคลงของสำนวน "หุงข้าวประชดหมา ปิ้งปลาประชดแมว" ดังนี้

           ประชดหมายเรียกร้อง    เห็นใจ
           จึงทุ่มเทกลับไป    เฉกแสร้ง
           เขารอรับเร็วไว    ทุกสิ่ง เสนอนา
           เกิดก่อประโยชน์แล้ง    ต่างล้วนคือสูญ

ย้อมแมวขาย

           เป็นสำนวนที่เรามักจะได้ยินกันบ่อย ๆ ในหมู่ของนักธุรกิจผู้ทำการค้า ในสมัยโบราณคนมักนิยมเลี้ยงแมวไว้เป็นเพื่อนแก้เหงา และเพื่อนก็มักต้องการให้เพื่อนดูดี สวยงาม คนสมัยโบราณจึงใช้ขมิ้นบ้าง ปูนบ้าง มาย้อมสีขนของแมวให้มีสีสันที่สดใสสวยงามเป็นที่สะดุดตา จึงเป็นที่มาของสำนวน

วงจรชีวิตคนเรา ลองพิจารณาดู


ความสำเร็จสูงสุดของคนๆหนึ่ง...
เมื่อแรกเกิด ความ สำเร็จสูงสุดคือ สามารถหายใจได้ด้วยตัวเอง

เมื่ออายุได้ 1 ขวบ ความสำเร็จสูงสุดคือ สามารถจำคนในบ้านได้ทุกคน

เมื่ออายุได้ 2 ขวบ ความสำเร็จสูงสุดคือ สามารถเดินได้

เมื่ออายุได้ 4 ขวบ ความสำเร็จสูงสุดคือ ไม่ฉี่รดที่นอน

เมื่ออายุได้ 15 ปี ความสำเร็จสูงสุดคือ มีเพื่อนฝูงมากมาย

เมื่ออายุได้ 20 ปี ความสำเร็จสูงสุดคือ เรื่องบนเตียง

เมื่ออายุได้ 30 ปี ความสำเร็จสูงสุดคือ มีความมั่นคงในชีวิต

เมื่ออายุได้ 50 ปี ความสำเร็จสูงสุดคือ เรื่องบนเตียง

เมื่ออายุได้ 60 ปี ความสำเร็จสูงสุดคือ มีเพื่อนฝูงมากมาย

เมื่ออายุได้ 65 ปี ความสำเร็จสูงสุดคือ ไม่ฉี่รดที่นอน

เมื่ออายุได้ 70 ปี ความสำเร็จสูงสุดคือ สามารถเดินได้

เมื่ออายุได้ 75 ปี ความสำเร็จสูงสุดคือ สามารถจำคนในบ้านได้ทุกคน

เมื่ออายุได้ 80 ปี ความสำเร็จสูงสุดคือ สามารถหายใจได้ด้วยตัวเอง

วิธีดูแบบโบราณ... ได้ลูกสาวหรือลูกชาย


  สมัยก่อนนั้นยังไม่มีการอัลตร้าซาวน์ว่าคนคนนั้นจะได้ลูกสาว หรือลูกชาย แต่คนโบราณเขาก็มีวิธีดูตามความเชื่อกันต่างๆ นาๆ ในการทายจากพฤติกรรมต่างๆ
จนทำให้เชื่อว่าคนๆ นั้นจะได้ลูกเพศอะไร
… ซึ่งวิธีดูของคนโบราณ อาทิ

1. ดูจากการก้าวเท้าของแม่ โบราณบอกว่า ให้คุณแม่ทดลองก้าวเท้าสัก 2-3 ก้าว
หากก้าวเท้าขวาจะได้ลูกชาย ก้าวเท้าซ้ายจะได้ลูกสาว
(ที่สำคัญอย่าให้คุณแม่รู้ตัวก่อนนะคะว่าคำทำนายจะเป็นอย่างไร ไม่งั้นไม่ตรงค่ะ)

2.ดูจากฝ่ามือคุณแม่ ถ้าคุณแม่หงายมือมา แสดงว่าลูกเป็นลูกสาว
ถ้าคว่ำมือลูกเป็นผู้ชาย ถ้ายื่นมือซ้ายเป็นลูกสาว ถ้ายื่นมือขวาเป็นลูกชาย

3.ดูจากใบหน้าคุณแม่ ถ้าคุณแม่มีหน้าตาแจ่มใส ไม่มีฝ้าจะได้ลูกชาย
แต่ถ้าคุณแม่ดูโทรม มีไฝฝ้าจะได้ลูกสาว

4.ดูจากความฝันของแม่ ถ้าฝันว่าได้แหวนจะได้ลูกชาย ถ้าฝันว่าได้สร้อย ได้กำไล ตุ้มหู จะได้ลูกสาว

5.ทายจากเด็กเหยียบท้อง ถ้าไม่เหยียบแปลว่าได้ลูกสาว ถ้าเหยียบแปลว่าได้ลูกชาย

ยุงชอบกัดคนประเภทไหน




ยุงชอบกัดคนประเภทไหน

ยุงชอบกัดคนที่มีเหงื่อออกมาก

ยุงชอบกัดคนที่ตัวร้อน (อุณหภูมิบริเวณผิวหนังสูง)

ยุงชอบกัดคนที่หายใจแรง เพราะคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมากับลมหายใจเป็นตัวดึงดูดยุง

ยุงชอบกัดเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ เพราะกลิ่นและลักษณะผิวหนัง

ยุงชอบกัดผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เพราะฮอร์โมนแตกต่างกัน

ยุงชอบกัดคนที่ใส่เสื้อผ้าสีเข้ม เช่น สีดำ กรมท่า แดง เขียว มากกว่าสีขาว

วิธีขจัดความเครียด 5 วันทำงาน




ทุกครั้งที่เริ่มต้นสัปดาห์แห่งการทำงาน คุณอาจรู้สึกเบื่อเมื่อนึกถึงงานที่ต้องทำอีก 5 วัน ตลอดจนปัญหาที่จะเข้ามาแทรกทำให้คุณต้องจัดการอย่างเร่งด่วน ดังนี้

วันจันทร์ : ปรับนิสัยการทำงาน 
           มักเป็นวันที่จราจรคับคั่งเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นวันแรกของสัปดาห์การทำงาน
หากคุณไม่อยากออกจากบ้านเพื่อเผชิญกับรถติดให้อารมณ์เสียกันตั้งแต่เช้า ขอแนะนำให้ตื่นเร็วขึ้นอีกสัก 10 นาที จะได้มีเวลาจัดการตนเองมากขึ้น ออกจากบ้านเร็วขึ้น ทำให้ไม่ต้องประสบกับจราจรคับคั่งอย่างที่เคยชิน เมื่อไปถึงที่ทำงานให้จัดลำดับความสำคัญของงานที่ต้องทำ แต่ควรจดในสิ่งที่สามารถทำได้ภายใน 1 วัน มิฉะนั้นอาจเหลืองานที่ยังทำไม่ทันบนกระดาษ ก่อให้เกิดความรู้สึกเครียด กังวลมากขึ้นไปอีก หลังจากนั้นก็ค่อยๆ จัดการงานไปทีละส่วน วิธีนี้จะช่วยป้องกันการผัดวันประกันพรุ่ง ช่วยให้คุณรู้สึกว่างานนั้นง่ายและเสร็จเร็วกว่าที่คิด ในขณะทำงานอาจมีเวลาสักช่วงที่รู้สึกเบื่อหน่าย ไม่อยากทำงาน ให้พยายามเลือกทำงานชิ้นที่คิดว่าใช้เวลาน้อยจะเหมาะที่สุด และสุดท้ายอุปสรรคของการทำงาน คือ การติดต่อสื่อสาร หากคิดว่าช่วงไหนยุ่ง มีงานเร่งด่วน ควรปิดมือถือและใช้ระบบฝากข้อความแทน
วันอังคาร : สร้างบรรยากาศการทำงานที่รื่นรมย์
           สาเหตุของความเครียดส่วนหนึ่งมาจากสภาพแวดล้อมในสถานที่ทำงาน เช่น เสียงดัง ห้องทำงานไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่มีส่วนช่วยทำให้มีแรงใจในการทำงานมากขึ้น เริ่มจาก ทำความสะอาดโต๊ะทำงาน จัดของให้เป็นระเบียบ หยิบใช้ หรือหาง่าย เพิ่มความสะดวก หาของตกแต่งเพิ่มสีสันบนโต๊ะทำงาน จะช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเช่น แจกันดอกไม้ ภาพถ่ายกับเพื่อน ครอบครัว หรือภาพเขียนที่ชื่นชอบ ตรวจสอบความพร้อมของอุปกรณ์ทำงาน สำรวจว่าโต๊ะทำงานมีแสงสว่างเพียงพอแล้วหรือไม่ เพราะหากมีน้อยไปจะเสียสายตา แก้ไขโดยติดตั้งโคมไฟตั้งโต๊ะ เก้าอี้ไม่แข็งเกินไป นั่งแล้วสายตาพอดีกับโต๊ะ จอคอมพิวเตอร์
วันพุธ : ลดความกังวล
           ความกังวลแบบพอดี ทำให้เราไม่ประมาท รู้จักเตรียมการล่วงหน้า ซึ่งเป็นผลดีต่อการทำงาน อย่างไรก็ตามหากมีมากไป จะเป็นอุปสรรคในการทำงาน ทำให้ประหม่า ไม่กล้าตัดสินใจ และอาจทำให้งานล่าช้า นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบไปถึงชีวิตนอกเวลางาน เก็บไปคิดให้กลุ้มใจเป็นวันๆ ดังนั้นเมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกกังวลมาก ขอให้ถามตนเองว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นของใคร คิดกังวลแทนคนอื่นมากไปหรือไม่ จากนั้นอาจปรึกษา พูดคุยกับคนที่ไว้ใจ และขบคิดดูว่าปัญหามีขอบเขตแค่ไหน และเริ่มหาทางแก้ไขปัญหา ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนไปทีละน้อย
วันพฤหัสบดี : หันมาฟังเสียงตัวเอง ขจัดความเครียด
              โดยปกติในชีวิตประจำวัน เวลาคิด หรือตัดสินใจ เรามักพูดกับตนเองในใจ ซึ่งแบ่งเป็น 2 อย่าง คือ แง่บวก และแง่ลบ ซึ่งการคิดในแง่บวกจะช่วยในการตัดสินใจ เพิ่มความมั่นใจ แต่คิดในแง่ลบจะยิ่งเพิ่มความวิตกกังวลมากขึ้น เช่น คนที่ยึดถือในความสมบูรณ์แบบมักคิดแบบเกินตัว ซึ่งมักรำพึงรำพันกับตัวเองว่า ""ฉันน่าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ (ซึ่งสถานการณ์จริง ผ่านมานานสายเกินแก้ไขแล้ว)" ยิ่งเพิ่มความเครียดให้ตนเอง ทางแก้ไขควรคิดแบบแง่บวกมากขึ้น เปลี่ยนจากคำถามว่า "ฉันทำผิดพลาดตรงไหน" มาเป็น "จะแก้ไขอย่างไรดี" จะเหมาะสมกว่า

วันศุกร์ : วิธีขจัดเครียดอย่างง่ายและรวดเร็ว
         ในระหว่างวันที่ คุณจะต้องเจอกับปัญหาหลายอย่าง มีวิธีขจัดความเครียดอย่างได้ผลและรวดเร็วมาฝากโดยการ กำหนดลมหายใจ ให้หายใจเข้า-ออก ลึกๆหลายๆครั้ง โดยไม่เปิดปากจะรู้สึกว่าอากาศจะเข้าไปเต็มปอด และท้อง จากนั้นก็หายใจออก พักสักครู่ อาจไปเดินเล่นสักพัก หรือฟังเพลง พักดื่มน้ำ ของว่างสักนิด ออกกำลังกาย นั่งนานๆมาทั้งวันอาจรู้สึกตึงบริเวณหลัง ขาดการออกกำลังกายช่วยให้ร่างกายได้ยืดเส้นยืดสาย เพียงแค่วันละ 10 นาที ก็จะช่วยทำให้รู้สึกดีขึ้น หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน หรืออาหารไขมันสูง หมั่นยิ้มและหัวเราะกับเพื่อนร่วมงาน
ซึ่งเป็นวิธีที่แบบธรรมชาติที่ลดความเครียดได้อย่างดี

อย่าไว้ใจ...ไม้จิ้มฟัน

หลายคนคงจะเคยประสบกับปัญหามีเศษอาหารติดอยู่ตามซอกฟันหลังการรับประทานอาหาร ซึ่งแต่ละคนก็คงจะมีวิธีแก้ไขต่างๆ กันไป แต่วิธีที่ง่าย สะดวกที่สุด อีกทั้งมีอุปกรณ์ไว้คอยบริการอยู่ตามร้านอาหารทั่วไป ก็คือ การใช้ไม้จิ้มฟัน ชื่อก็บอกอยู่แล้วนะคะว่า ไม้จิ้มฟัน ดังนั้นหน้าที่ของมันก็คือ ใช้จิ้มฟันเขี่ยเศษอาหารที่ติดอยู่บริเวณซอกฟันออก



การใช้ไม้จิ้มฟันอย่างถูกวิธี คือ ใช้ไม้จิ้มฟันเขี่ยเศษอาหารจากเหงือกไปตามซี่ฟัน ไม่ควรทิ่มเข้าไปในซอกฟัน หรือทิ่มจากด้านหน้าฟันทะลุไปถึงหลังฟัน

แต่คงมีหลายคนที่ใช้ไม้จิ้มฟันผิดวิธี คือใช้ไม้จิ้มฟันทิ่มเข้าไปในซอกฟัน เพราะความเรียวเล็กที่ปลายและค่อยๆ ใหญ่ขึ้นถึงโคน เมื่อทิ่มเลยเข้าไปในซอกฟันมากๆ เข้า ขนาดของไม้จิ้มฟันก็จะไปเบียดให้ยอดเหงือกถูกกดต่ำลง เมื่อใช้บ่อยๆ เข้ายอดเหงือกที่เคย แหลมปิดซอกฟันก็จะถูกเบียดให้ต่ำลง และทำให้ยิ่งมีช่องว่างที่ใหญ่ขึ้นส่งผลให้เศษอาหารยิ่งเข้าไปติดง่ายขึ้น อีกทั้งเมื่อเกิด ช่องว่างระหว่างฟันทำให้ขาดความสวยงามด้วย

นอกจากนี้เรื่องความสะอาดของไม้จิ้มฟันก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้อย่างเด็ดขาด ไม้จิ้มฟันตามร้านอาหารชั้นนำอาจมีรูปแบบการบรรจุแยกชิ้น ซึ่งก็จะมีความสะอาดในระดับหนึ่ง แต่ไม้จิ้มฟันที่เราเห็นกันอยู่ตามร้านอาหารทั่วไปมักใส่กล่องไว้เฉยๆ บางร้านมีฝาปิดบางร้านไม่มี ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่มีโอกาสปนเปื้อนเชื้อโรค และ ฝุ่นละอองได้ทั้งสิ้น ถ้าเราใช้ไม้จิ้มฟันอย่างไม่ระวัง โอกาสที่จะทำให้มีการติดเชื้อก็เป็นไปได้ง่ายโดยเฉพาะคนที่เป็นโรคเหงือกอักเสบอยู่แล้ว บางคนมีความเคยชินที่จะต้องใช้ไม้จิ้มฟันหลังอาหารทั้งๆที่ไม่มีเศษอาหารติดฟัน คือขอเพียงแค่เอาไม้จิ้มฟันไปกัดไว้เล่นๆ ซึ่งก็เป็นการเพิ่มโอกาสที่จะนำเชื้อโรคเข้าสู่ช่องปากของเราโดยไม่จำเป็น
วิธีการทำความสะอาดซอกฟันที่ทันตแพทย์แนะนำให้ใช้ ได้แก่ การใช้ไหมขัดฟัน

ไหมขัดฟันเป็นใยไนลอนที่ใช้ทำความสะอาดซอกฟันและสามารถขจัดคราบอาหารหรือเศษอาหารชิ้นโตๆได้เป็นอย่างดี รวมทั้งไม่เป็นอันตรายต่อ เหงือกและไม่ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างฟัน แต่ข้อจำกัดของการใช้ไหมขัดฟันคือการใช้เวลาค่อนข้างมากในการทำความสะอาด ซอกฟันให้ครบทุกซี่

จะเห็นได้ว่าการขจัดเศษอาหารออกจากซอกฟันมีวิธีการหลายวิธี ดังนั้นเราควรเลือกวิธีการที่มีประสิทธิภาพและไม่ส่งผล เสียต่อเหงือกและฟันของเรานะคะ แต่ถ้าหากมีความจำเป็นต้องใช้ไม้จิ้มฟัน ก็ควรใช้อย่างถูกวิธีและพิจารณาความสะอาดของไม้จิ้มฟันก่อนที่จะนำเข้าปากทุกครั้ง



หัวเราะต่อต้านโรค



ผู้เชี่ยวชาญให้ผู้คนตระหนักถึงความสำคัญของการหัวเราะ เพราะมันเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตของเรา

การหัวเราะจะทำให้หลั่งฮอร์โมนเอนดอร์ฟิน อันเป็นฮอร์โมนแห่งความสุข และยังเป็นที่รู้กันว่าเป็นยาแก้ปวดเมื่อยของร่างกายด้วย

พวกเขาบอกให้เราหัวเราะอย่างจริงจัง จนรู้สึกไปทั่วสรรพางค์กาย หรือจนน้ำหูน้ำตาไหล การหัวเราะทำให้รู้สึกสบายใจ ช่วยระบายขับถ่ายอารมณ์ด้วย เมื่อเวลาเราหัวเราะ เราจะเกิดการเปลี่ยน แปลงทางร่างกายขึ้นต่างๆ กล้ามเนื้อทั่วตัวตั้งแต่ที่ใบหน้าและทั้งตัวจะผ่อนคลาย ชีพจรและอัตราการหายใจจะเพิ่มขึ้น ซึ่งเท่ากับเป็นการเพิ่มพูนออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อต่างๆ
เมื่อเราเกิดความเครียด มันจะพลอยทำให้ระบบภูมิคุ้มโรคเฉื่อยชา ผู้เชี่ยวชาญบางคนถึงกับกล่าวว่า เราอาจจะใช้ อารมณ์ขันเพื่อเพิ่มสมรรถภาพของภูมิต้านทานในการต่อสู้กับโรค การหัวร่อช่วยให้นอนหลับดี และหลอดเลือดก็ยืดหยุ่นดี ที่สำคัญ อย่าไปดูถูกการหัวเราะ มันอาจจะเป็นโอสถเอกของเราก็ได้

ฉลาดเลือก ... ใช้แปรงสีฟัน


การแปรงฟันเป็นวิธีการทำความสะอาดช่องปาก ที่ช่วยกำจัดคราบจุลินทรีย์และเศษอาหาร ที่ตกค้างออกจากช่อง ปาก เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นต้นเหตุของการเกิดโรคฟันผุและเหงือกอักเสบ แปรงสีฟัน... เป็นเครื่องมือสำคัญ สำหรับช่วยในการแปรงฟัน เราจึงรู้จักวิธีการเลือกแปรงสีฟันที่ดี ซึ่งจะทำได้ดังนี้คือ

ก่อนซื้อ ... ต้องดูฉลาก 

1) ดูที่ชนิดของแปรงสีฟันควรเลือกแปรงสีฟันชนิดนุ่ม(soft) หรือ ปานกลาง(medium)

2) มีการระบุว่า มนปลายขนแปรง(end-rounded)
3) แปรงสีฟันมีความยาวคลุมฟัน ประมาณ 2 ซี่ ถึง 2? ซี่ และ

4) ดูว่ามีชื่อบริษัทผู้ผลิตด้วย
เมื่อแกะกล่องควรตรวจแปรงสีฟันดังนี้

1) เอานิ้วลูบตามขอบของหัวแปรงสีฟัน ต้องไม่มีส่วนใดที่มีความคม หรือเป็นมุมที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อเหงือกและกระพุ้งแก้ม

2) เอานิ้วลูบหน้าตัดขนแปรง ต้องไม่คมบาดมือและขนแปรงควรสปริงตัวได้ดี
3) ด้ามแปรงจับถนัดมือ
ทำไม ต้องเลือกขนแปรงชนิดนุ่ม  

เพราะขนแปรงนุ่มสามารถเข้าทำความสะอาดบริเวณซอกฟันและร่องเหงือกได้ดี โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายและเหมาะสมกับวิธีแปรงฟันที่แนะนำ คือ วิธีแปรงฟันแบบ ขยับ-ปัด (Modified bass technique) ถ้าชอบแปรงสีฟันชนิด ปานกลาง ก็ขอให้ระวังอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับเหงือกและฟัน ดังนี้

(1) คอฟันสึก
(2) เหงือกร่น ซึ่งมีวิธีป้องกัน คือ
(2.1) ห้ามใช้วิธีการแปรงฟันแบบ ถูไป- มาแรงๆ เด็ดขาด ควรค่อยแปรงเบาๆ อย่ารีบร้อน

(2.2) ค่อยๆ ขยับแปรงสีฟันสั้นๆ ทีละ 2-3 ซี่ อย่าแปรงแบบลากยาว เพราะจะทำให้คอฟันสึกได้
วิธีที่ถูกต้องของการแปรงฟันแบบขยับ-ปัด คือ การ วางขนแปรงที่คอฟัน ซึ่งจะเป็นบริเวณที่มีการสะสมของคราบจุลินทรีย์ โดยทำมุมประมาณ 45 องศากับตัวฟัน เพื่อให้ขนแปรงสามารถเข้าไปทำความสะอาด บริเวณร่องเหงือกได้ แล้วขยับไปมาสั้นๆ 4-5 ครั้ง ฟันบนปัดลงล่าง ฟันล่างปัดขึ้นบน เมื่อย้ายไปแปรงตำแหน่งใหม่ ควรแปรงคล่อมฟัน ที่แปรงไปแล้วด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าได้ทำความสะอาดซอกฟันทุกแห่งอย่างทั่วถึง

จากกองทันตสาธารณสุข กรมอนามัย

สวมส้นสูงนานๆน่าเป็นห่วง

ผู้หญิง ความงาม และ การแต่งตัว ต่างเกิดมาเพื่อกันและกัน การที่ผู้หญิงคนหนึ่งลุกขึ้นมาแต่งเนื้อแต่งตัว ก็เพื่อเพิ่มความเด่น ลบความด้อย เสริมบุคลิกภาพในการเข้าสังคม โดยเฉพาะ รองเท้าส้นสูง ดูจะเป็นเครื่องแต่งกายชิ้นหนึ่งที่คุณผู้หญิงให้ความสำคัญ เมื่อสวมแล้วเดินสวยๆ เข้ากับเสื้อผ้าที่ใส่ยิ่งส่งให้ดูสง่าผ่าเผยขึ้นทันตา แต่การสวมรองเท้าส้นสูงบ่อยๆ อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้




เนื่องจากคุณผู้หญิงที่สวมรองเท้าส้นสูงเป็นประจำ จะมีอาการ เช่น ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เกิดโรคข้อนิ้วหัวแม่เท้าเสื่อม แข็งเก ผิดรูปหรือซ้อน รวมทั้งอาจเกิดรอยด้านบริเวณผิวหนังที่ถูกเสียดสี เป็นตาปลา เกิดก้อนแข็งๆ ปูดนูนขึ้น เจ็บบริเวณเล็บหรือเล็บขบ อีกทั้งขณะที่สวมรองเท้าส้นสูง อวัยวะบางส่วนของร่างกายต้องรับบทหนักเริ่มที่...

หลังส่วนกลาง: จะต้องบิดโค้งเพิ่มมากขึ้น

เชิงกราน: ถูกยกอย่างไม่สมดุล ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณเชิงกรานอ่อนแอ

เข่า: ต้องรับน้ำหนักมากขึ้น อาจทำให้เกิดอาการปวด โรคกระดูกหรือข้อต่ออักเสบตามมา

น่อง: การเดินเขย่งจะทำให้กล้ามเนื้อน่องสั้นขึ้น
ข้อเท้า: การขยับข้อเท้าในขณะสวมรองเท้าอยู่นั้น หากทำผิดจังหวะอาจทำให้ข้อเท้าแพลง

เท้า: ส่วนที่รับบทหนัก เพราะต้องรักษาดุลไปด้านหน้า ส่งผลต่อกระดูกที่ฝ่าเท้าอาจมีอาการปวดเมื่อยจนอักเสบ การใส่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่งจะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่การปวดหลัง

อาการทั้งหมดที่กล่าวมา ไม่จำเป็นว่าจะต้องเกิดขึ้นกับคุณผู้หญิงทุกคนเสมอไป เพราะแต่ละคนมีรูปเท้าหรือลักษณะเท้าที่แตกต่างกัน เช่น รูปเท้าเรียว อวบนูน จะไม่ค่อยเกิดปัญหา แต่รูปเท้าแบนราบ มักเกิดอาการปวดเมื่อย ทั้งนี้เพราะฝ่าเท้าจะสัมผัสกับพื้นรองเท้ามากเป็นพิเศษ ประกอบกับพื้นรองเท้าส่วนใหญ่จะแคบ ทำให้เท้าถูกบีบรัดตัว ผู้มีรูปเท้าแบน จึงควรเลือกรองเท้าพื้นกว้างๆ จะปลายกว้างหรือปลายแหลมก็ได้
หากมีอาการปวดเมื่อยเท้า ควรแช่ด้วยน้ำอุ่นจัด ด้วยระดับน้ำที่สูงถึงครึ่งน่อง นาน 10-15 นาที พร้อมทั้งออกกำลังเท้าและนิ้วเท้า โดยกระดกปลายเท้าขึ้น-ลง เหยียดงอนิ้วเท้า หันฝ่าเท้าสลับเข้า-ออก หรือใช้มือบีบนวดบริเวณอุ้งเท้า ซึ่งเป็นส่วนที่มีเส้นเลือดและเส้นประสาทจำวนวนมาก จะช่วยบรรเทาอาการเมื่อยลงได้



สำหรับผู้ที่มีอาการเท้าแพลง เบื้องต้นในระยะ 1-2 วันแรก ใช้น้ำแข็งประคบ 5-10 นาที วันละ 2-3 ครั้ง พันด้วยผ้ายืด พักการใช้งานข้อเท้า หากอาการยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์



เมื่อใช้งานเท้าหนัก ก็ควรดูแลเท้าด้วยวิธีง่ายๆ ทำได้ที่บ้าน อย่างการทำ "สปาเท้า" เพราะแค่มีมะขามเปียก สบู่เหลวหรือสบู่ก้อน แปรงสีฟันเก่าที่เลิกใช้ สำลี โทนเนอร์ และโลชั่นน้ำนม ก็สามารถทำได้แล้ว เริ่มจากการขัดด้วยมะขามเปียก ตามด้วยสบู่ ขัดไปเรื่อยๆ ให้รู้สึกผ่อนคลาย นำแปรงสีฟันมาถูบริเวณรอยดำ รอยด้าน จากนั้นใช้สำลีชุบโทนเนอร์ ขัดบริเวณที่ด้าน เช่น ส้นเท้า สุดท้ายค่อยลงโลชั่นน้ำนมให้ทั่ว คุณก็จะได้เท้าที่สะอาด ผ่อนคลาย หากพอมีเวลาควรทำสปาเท้าอย่างน้อย 1 ครั้งต่อสัปดาห์

เห็นทีคุณผู้หญิงคงจะต้องพิถีพิถันกับการดูแลเท้าให้มากขึ้น หากไม่สามารถเลิกสวมรองเท้าส้นสูงทั้งๆ ที่มีอาการปวดเมื่อย ก็ควรลดความสูงลงบ้าง รวมทั้งการฝึกเดิน-ยืน โดยการเขย่ง คล้ายๆ กับเวลาที่สวมรองเท้าส้นสูงเพื่อสร้างความคุ้นเคย และอย่าลืมดูแลเท้าตามคำแนะนำ เพื่อสุขภาพเท้าที่ดีและการเดินบนรองเท้าส้นสูงคู่สวยด้วยความมั่นใจ