วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

แผ่นดินไหว สึนามิ อุบัติภัยธรรมชาติที่หนักขึ้นทุกวัน


ภัยพิบัติแผ่นดินไหวขนาด 9 ริกเตอร์ ที่เกิดขึ้นในทะเลด้านตะวันออกของเมืองเซนได ประเทศญี่ปุ่น ซ้ำด้วยคลื่นสึนามิสูงเกิน 10 เมตร โถมเข้าฝั่งด้วยความเร็วแปดร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อวันที่ 11 มี.ค.2554นั้น ได้สร้างความเสียหายต่ออาคาร บ้านเรือน ถนน โครงสร้างพื้นฐาน รถไฟ เครื่องบิน ยานพาหนะ และอุปกรณ์ทุกชนิดที่ขวางหน้า คร่าชีวิตมนุษย์จำนวนกว่า 20,000 คน แผ่กระจายเป็นอาณาบริเวณกว้างขวางปราศจากขอบเขต และสร้างความหวาดผวาแก่มนุษยชาติ โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นผู้ซึ่งเป็นต้นตำรับของตำนานสึนามิ และซ้ำร้ายเมื่อโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ฟุกุชิม่า ไดอิชิ ของบริษัทการไฟฟ้าโตเกียว ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่นได้รับผลกระทบ เป็นความเสียหายอย่างหนักนั้น ถือเป็นอุบัติภัยที่ควรจะมีอยู่แต่ในตำราที่เป็นจินตนาการเท่านั้น แต่ที่เกิดขึ้นจริงครั้งนี้สร้างผลกระทบความเสียหายเลวร้ายกว่าที่เคยถูก บันทึกว่าเป็นความเลวร้ายที่สุดสำหรับอุบัติภัยในประเภทเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นกรณีของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ทรีไมล์ไอส์แลนด์ในสหรัฐฯ หรือ เชอร์โนบิลในรัฐยูเครนสหภาพโซเวียต




เมื่อเกิดแผ่นดินไหวโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ฟุกุชิม่าแห่งนี้จะหยุดทำงาน ทันทีโดยอัตโนมัต แต่แรงปะทะและน้ำท่วมของสึนามิทำให้อุปกรณ์ในห้องควบคุมชั้นล่าง ระบบการสื่อสารทั้งหมดซึ่งเป็นหัวใจของการควบคุมอัตโนมัติและระบบไฟฟ้าสำรอง เสียหายหยุดทำงานพังพินาศ ทำให้การหล่อน้ำเพิ่มความเย็นเพื่อลดอุณหภูมิแก่เชื้อเพลิงซึ่งเป็นแท่งยูเร เนี่ยม ครอบด้วยโลหะเซอร์โคเนี่ยมจุ่มอยู่ในน้ำรวมกับแท่งควบคุมของเตาปฏิกรณ์ วิศวกรผู้ควบคุมได้พยายามทุกวิถีทางเพื่อควบคุมอุณหภูมิเตาปฏิกรณ์ ป้องกันไม่ให้แท่งเชื้อเพลิงร้อนจัดจนถึงขั้นหลอมละลายหรือระเบิดกระจาย กัมมันตรังสีออกสู่บรรยากาศ ลังเลกันอยู่นานก่อนตัดสินใจใช้น้ำทะเลมาช่วยหล่อเย็นแต่มาได้ผลมากนัก เพื่อลดความดันของก๊าซไฮโดรเจนที่กระจุกรวมตัวกันอยู่ในอาคารด้านนอกของเตา ปฏิกรณ์ เปิดให้ออกสู่บรรยากาศมีผลเสียตามมา เกิดการระเบิดเมื่อผสมเข้ากับออกซิเจน การระเบิดของไฮโดรเจนส่งผลให้หลังคาฝาครอบด้านนอกของเตาปฏิกรณ์เครื่องหนึ่ง เปิดออก เกิดการรั่วไหลของกัมมันตรังสีออกสู่บรรยากาศโดยรอบน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง แต่กระนั้นหน่วยดับเพลิงและป้องกันสาธารณภัยของญี่ปุ่นก็ยังไม่ย่อท้อ ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อฉีดน้ำดับเพลิงหล่อเลี้ยงลดอุณหภูมิให้แก่เตาปฏิกรณ์โดย เฉพาะหน่วยที่3 ซึ่งมีปัญหาวิกฤติที่สุดของจำนวนทั้งหมด6หน่วย กรณีนี้ถือเป็นบทเรียนที่ล้ำค่าของวิศวกรโรงไฟฟ้านิวเคลียร์และบริษัทการ ไฟฟ้าโตเกียว



โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ฟุกุชิม่าแห่งนี้ได้ถูกสร้างขึ้นด้วยภูมิปัญญาความรู้ สูงสุดความสามารถของวิศวกรชาวญี่ปุ่นที่ถือว่าจะให้ความปลอดภัยสูง มีความเสี่ยงน้อยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก สามารถทนต่อความแรงของแผ่นดินไหวขนาด 9 ริกเตอร์สเกลได้ แต่เมื่อถูกกระแทกด้วยแรงกระแทกซ้ำแล้วซ้ำอีกของพลังน้ำมหึมาที่ความเร็ว 800 กม.ต่อชั่วโมงนั้น เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของวิศวกรผู้ออกแบบ เป็นผลให้ระบบไฟฟ้า การควบคุมอัตโนมัติและอุปกรณ์สำรองของความปลอดภัยทุกชนิดพังพินาศเป็นอัมพาต หมด ถึงกระนั้นวิศวกรและช่างชาวญี่ปุ่นก็ได้พยายามหามาตรการต่างๆทำงานแข่งกับ เวลาเพื่อที่จะควบคุมการทำงานของเตาปฏิกรณ์ทุกเครื่องให้อยู่ในภาวะที่ ปลอดภัยให้ได้แม้จะเสี่ยงกับความปลอดภัยของตนเองก็ตาม





วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

ทำอย่างไร..ให้มีความสุข







จัดอันดับยี่ห้อดังระดับโลก 'โค้ก' คว้าที่ 1


การจัดอันดับแบรนด์ดังระดับโลก โดย  "อินเตอร์แบรนด์" บริษัทที่ปรึกษาผลิตภัณฑ์แบรนด์ต่าง ๆ สัญชาติอเมริกัน เผยผลการจัดอันดับแบรนด์ดังระดับโลก
โดยในปีนี้อันดับ 1 เป็นตกเป็นของบริษัท โคคา โคลา หรือ "โค้ก" ด้วยมูลค่า 70,452 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 2 เปอร์เซ็นต์

อันดับ 2  ไอบีเอ็ม มูลค่า 64,727 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 7 เปอร์เซ็นต์

อันดับ 3 ไมโครซอฟต์เพิ่มขึ้นเท่ากัน 7 เปอร์เซ็นต์ มูลค่าอยู่ที่ 60,895 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

อันดับ 4 กูเกิล เสิร์ชเอนจิ้นยักษ์ใหญ่ มูลค่า 43,557 เพิ่มขึ้นมากที่สุดของตาราง 36 เปอร์เซ็นต์ (เดิมอยู่อันดับ 7)

อันดับที่ 5 จีอี หรือ "เจนเนอรัล อิเลคทริค" มูลค่า 42,808 ลดลง 10 เปอร์เซ็นต์ ( ตกลงมาจากเดิมอันดับที่ 4 )

อันดับ 6 แมคโดนัลด์

อันดับ 7 อินเทล

อันดับ 8 โนเกีย

อันดับ 9 ดิสนีย์

อันดับ 10 เอชพี หรือ ฮิวเล็ต เพคการ์ด

อันดับ 11 โตโยต้า

อันดับ 12 เมอซีเดส เบนซ์

อันดับ 13 ยิลเลตต์

อันดับ 14 ซิสโค

อันดับ 15 บีเอ็มดับเบิลยู

อันดับ 16 หลุยส์ วิตตอง

อันดับ 17 แอปเปิล

อันดับ 18 มาร์โบโร

อันดับ 19 ซัมซุง

อันดับ 20 ฮอนด้า

ที่มาของ "สัญลักษณ์รูปตาของอียิปต์โบราณ"


สัญลักษณ์รูปตาที่เรามักจะเห็นกันบ่อยๆ ในศิลปะของอียิปต์นั้น เป็นสัญลักษณ์แทนดวงตาของเทพเจ้าของอียิปต์ที่มีความสำคัญมากองค์หนึ่ง นั่นคือ เทพฮอรัส เทพเจ้าแห่งท้องฟ้าที่มีศีรษะเป็นนกเหยี่ยว มีดวงตาข้างหนึ่งเป็นดวงอาทิตย์ และอีกข้างเป็นดวงจันทร์ เราจึงเรียกสัญลักษณ์นี้ว่า ดวงตาของฮอรัส (Eye of Horus หรือ wedjat) ที่แทนด้วยดวงตาของมนุษย์ที่มีหางตาเป็นแบบของเหยี่ยว และมีลวดลายสัญลักษณ์รอบๆ ตาซึ่งบางครั้งก็มีหยดน้ำตาด้วย โดยที่คนอียิปต์โบราณจะออกเสียงเรียกสัญลักษณ์นี้ว่า “udjat”



ชาวอียิปต์โบราณนับถือดวงตาของฮอรัสเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้องคุ้มครอง และยังได้รับการเปรียบว่าเป็นสัญลักษณ์ของความรอบรู้ สุขภาพดี และความมั่งคั่ง นอกจากนี้ คนโบราณยังเคารพดวงตาของฮอรัสเสมือนตัวแทนของอาณาจักรใหม่อันเป็นนิรันดร์จากฟาโรห์องค์หนึ่งไปสู่ฟาโรห์อีกองค์หนึ่ง โดยชาวอียิปต์เชื่อว่า สัญลักษณ์นี้มีพลังอำนาจมหาศาลและมีเวทมนตร์ที่ส่งผลต่อการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้กับโลกที่ไม่มีความมั่นคง และแก้ไขสิ่งที่ไม่เที่ยงธรรม รวมทั้งยังเชื่อว่า สัญลักษณ์ของสิ่งที่ไม่มีสิ่งใดทำลายได้นี้จะช่วยในการเกิดใหม่อีกครั้งด้วย


ทั้งนี้ ตามตำนานเทพโบราณ เทพฮอรัสเป็นโอรสของเทพโอซิริสและเทพีไอซิส ผู้ปกครองดินแดนลุ่มแม่น้ำไนล์ โดยมีเทพเซธคอยอิจฉาริษยาและพยายามหาทางแย่งชิงราชบัลลังก์ ต่อมาเทพเซธได้สังหารบิดาของเทพฮอรัสและแยกชิ้นส่วนไปทิ้งตามที่ต่างๆ ทั่วอียิปต์ ทั้งยังควักลูกตาของพระองค์ออกข้างหนึ่ง โดยมีเทพทอต เทพเจ้าแห่งความฉลาดรอบรู้ ผู้สนับสนุนศาสตร์ความรู้และศิลปะแห่งการเขียนเป็นผู้เก็บดวงตานั้นกลับมาและรักษาอย่างอดทนจนพระองค์หายดี และในที่สุดพระองค์ก็สามารถตามเก็บชิ้นส่วนของพระบิดากลับมาได้

ในปัจจุบัน สัญลักษณ์นี้ได้รับความนิยมไม่น้อยเลยทีเดียว บางคนก็สักรูปดวงตาของฮอรัสเพื่อความเป็นสิริมงคลตามความหมายดั้งเดิมของอียิปต์โบราณ ตลอดจนเครื่องประดับต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น แหวน สร้อย ต่างหูก็มีการออกแบบโดยใช้ดวงตาของฮอรัสเป็นต้นแบบอีกด้วย

"สวัสติกะ" กับความหมายที่แปรเปลี่ยน


ลักษณะธงนาซีเยอรมัน ตามที่คุณผู้อ่านทราบกันก็คือ ธงสีแดงมีเครื่องหมายสวัสติกะอยู่ตรงกลาง และถ้าจะให้เข้าใจลึกไปอีกคือ สวัสติกะ เป็นเครื่องหมายกากบาทที่ตรงส่วนปลายทำมุมฉากนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม สวัสติกะ ไม่ใช่เป็นตัวแทนของความโหดร้ายตามที่เข้าใจกัน เพราะแท้ที่จริงแล้วเครื่องหมาย "สวัสติกะ" เป็นเครื่องหมายแห่งมงคล ที่ปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์มายาวนานแล้ว



คำว่า "สวัสติกะ" มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤต ว่า "สุ" แปลว่า ดี ร่วมกับคำว่า "อัสติ" แปลว่า มี และ "กะ" หมายถึงอาคม และเมื่อเอาสามคำมารวมกันจีงเรียกได้ว่า สวัสดิกะ เป็นเครื่องหมายแห่งความโชคดี หรือเครื่องราง วัตถุมงคล

อย่างไรก็ตามความหมายของสวัสติกะถูกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงในช่วงต้นศตวรรษ ที่ 20 เมื่อกลายเป็นสัญลักษณ์ของพรรคนาซีในเยอรมนี และตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมาชาวตะวันตกส่วนใหญ่ก็มองว่า สัญลักษณ์นี้เป็นสัญลักษณ์ของเผด็จการ นำไปสู่ความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับความหมายของสวัสติกะ ในวัฒนธรรมอื่นๆ ด้วย


ความหมายที่แปรเปลี่ยนของ "สวัสติกะ" เป็นผลมาจากพรรคนาซี นำเครื่องหมายสวัสติกะมาใช้เป็นสัญลักษณ์ อย่างเป็นทางการในปี 1920 และบทบาทของพรรคภายใต้การนำของฮิตเลอร์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ทำให้ความหมายของสวัสติกะ เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ และมีอิทธิพลต่อการใช้สัญลักษณ์นี้อย่างแพร่หลาย

ส่วนสาเหตุที่ฮิตเลอร์นำ "สวัสติกะ" มาใช้เป็นสัญลักษณ์ เนื่องจากเชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์มีที่มาจากชนชาติอารยัน เผ่าพันธุ์ของเขาเอง ซึ่งฮิตเลอร์เชื่อว่าเก่งกล้าเหนือเผ่าพันธุ์อื่นๆ และ สวัสติกะเป็นสัญลักษณ์แห่ง "การต่อสู้เพื่อชัยชนะของชนชาติอารยัน"


ที่มา108ซองคำถาม

คุณเคยสังเกตุหรือไม่ว่าทุกคำคืน คุณนอนท่าไหน....

คุณเคยสังเกตุหรือไม่ว่าทุกคำคืน คุณนอนท่าไหน....
และท่านอนของคุณ บอกอะไรให้คุณบ้าง


1. กางแขนกางขา: ช่างรักอิสระเสรี อะไรขนาดนั้น ท่านอนบ่งบอก
ความเป็นตัวของตัวเอง อย่างแรง รักความสะดวกสบาย
รักสวยรักงาม จับจ่ายใช้สอย สุรุ่ยสุร่าย แต่ก็หาเงินเก่งพอๆ กัน
ที่แย่หน่อยคือ ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน และสนุกกับ การตั้งสโมสร ซะด้วยซิ...



2. นอนเอาขาไขว้กันแบบไขว่ห้าง: ท่านว่า คนที่นอนท่านี้
ไม่ค่อยกล้ายอมรับ ความเปลี่ยนแปลงใดได้ง่ายๆ แถมยังชอบ
หมกมุ่นอยู่กับ เรื่องของตนเอง รักที่จะอยู่คนเดียว
ข้อดีก็คือ ช่างมีน้ำอดน้ำทน กับเรื่องรอบๆ ตัวได้ดีจริงๆ






 3. นอนเอามือไพล่ประสานกัน รองศรีษะ: เขาว่า คนนอนท่านี้เป็นนิจ
เป็นคนฉลาด ปราดเปรื่อง ปัญญาเฉียบแหลม ชอบเรียนรู้ สิ่งใหม่ๆ ไม่รู้จบ
บางครั้ง ก็มีความคิด แปลก แหวกแนว ที่ชาวบ้านตามไม่ทัน เป็นคนน่ารัก
ที่ให้ความสนใจครอบครัว อยู่เสมอ... แต่มันสำคัญที่ว่า...
ช่างเป็นคนที่ รักคนยาก ซะเหลือเกิน... ช่างเลือกเกินไปหรือเปล่า ?






 4. นอนคว่ำ: ถ้านอนท่านี้ ได้ทั้งคืน ก็ให้รีบสำรวจได้แล้วว่า
เป็นคน ใจคอคับแคบ หรือเปล่า มักจะเอาแต่ใจตนเองเป็นใหญ่
และต้องการให้ ใครต่อใคร ทำตามความต้องการของตัวเองอยู่เสมอๆ
แถมยังเป็น คนสับเพร่า จับจดเสียด้วยนะ........รีบเปลี่ยนท่านอนซะเถอะ



5. นอนตะแคง: ท่านี้ เป็นท่านอนของคนที่ มีความเชื่อมั่นในตัวเอง
และไม่ว่าจะทำงานอะไร ก็มักจะก้าวไปสู่ความสำเร็จ
ด้วยความอุตสาหะ มานะ พยายาม อย่างสม่ำเสมอ
ยิ่งไปกว่านั้น ท่านว่า คนที่ชอบ นอนตะแคงขวา เหยียดแขนขวา
ไปเหนือศรีษะละก็... อำนาจ วาสนา ดีนักแล... ?




6. นอนตะแคงงอขาขึ้นข้างหนึ่ง: ไม่ดีละมั้ง... ท่านว่า
ขี้ระแวง สงสัยอยู่ไม่สร่าง โดยไร้เหตุผล จู้จี้ขี้บ่นไม่รู้เวลา นอกจากจะขาด
ความเป็นตัวของตัวเองแล้ว อาจจะพาลเป็น โรคประสาทได้ง่ายๆ.
.. ทั้งตัวเอง และคนข้างเคียงน่ะแหล่ะ!


7. นอนงอตัว: นี่ก็อีกคน... น่าจะเป็น คนขี้อิจฉาตาร้อน
กลัวใครเขา จะได้ดีไปกว่าตนซะหมด พูดง่ายๆ ก็คือ
ค่อนข้างจะเป็น คนเห็นแก่ตัวอย่างแรง แถมยัง เจ้าคิดเจ้าแค้น
ชอบพยาบาทรุนแรงด้วยนะ... ระวังหน่อย!



8. นอนทับแขนตัวเอง: คนนี้ตรงกันข้ามกับ คนนอนงอตัว ท่าที่ 7 เลย...
ช่างสุภาพอ่อนโยน! จริงใจ เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก อะไรจะปานนั้น...
แต่ดูเหมือน จะมีกรรมมาบัง เพราะเขาจะเป็นคนที่ ขาดความมั่นใจในตนเอง และขาดความอบอุ่นในชีวิต.. น่าสงสารนะ




9. นอนคุดคู้: เป็นคนขี้เหงาอย่างแรง ซึมเศร้าง่าย
เพราะไปฝังใจกับเรื่องเศร้าๆ เรืองผิดหวัง หรือสูญเสียในอดีต
 เป็นคนขี้ระแวง และมีความลังเล ไม่มั่นใจอยู่ตลอดเวลา
ทำให้รู้สึกว่า ขาดความรักความอบอุ่น.. เติมเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม


10. นอนคลุมโปง: เชื่อไหมว่า ภายนอก เขาคนนี้อาจจะดูผึ่งผาย
น่าเชื่อถือมาก แต่ลึกลงไปแล้ว เขาขี้อาย จิตใจอ่อนแอ...
เขาชอบมีความลับ และเก็บความลับเก่งด้วยนะ มีอะไร ก็จะแอบเก็บไว้ในใจ
 แล้วเก็บเอาไปกังวล วุ่นวายใจ วนเวียนอยู่กับปัญหานั้น คนเดียว ไม่รู้จบรู้สิ้นสักที...
ไม่รู้ว่า นอนขมวดคิ้วนิ่วหน้า ด้วยรึเปล่า ?



11. นอนเอามือจับอวัยวะเพศของตัวเอง: คนนี้มาแปลก... ท่านว่า
จะชอบหมกมุ่น อยู่ใน กามารมณ์ มีความต้องการทางเพศสูง
ใจร้อน โกรธง่ายหายเร็ว รักใครหลงใครละก็ เป็นได้หัวปักหัวปำ
แบบกู่ไม่กลับ ทั้งๆ ที่เป็น คนมีสติปัญญา เฉลียวฉลาด อยู่หรอกนะ




12. นอนละเมอ: จะซีเรียสอะไรกันได้ขนาดนั้น ก็ไม่รู้... เขาเป็นคนคิดมาก
 ยังฝังจิตฝังใจกับ เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ ไม่ยอมลีม...
 สังเกตดีๆ จะเห็นว่า เขาขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง
และจะคล้อยตามคนอื่นอยู่เสมอ... ถ้าเขาละเมอบ่อยมาก
 และรุนแรงขึ้นละก็ น่าจะเต ือน ให้เขาปรึกษาแพทย์ หรือผู้รู้ซะได้แล้ว




 13. นอนกัดฟัน: นี่ก็คนเก็บกด... โบราณว่า เป็นคนอาภัพ ซึ่งเขาอาจจะ
คิดไปเอง ก็เลยอมทุกข์ เก็บกดความทุกข์ไว้ในใจ
หน้าฉากอาจจะดูรื่นเริง แต่แอบไปนอนกัดฟันกรอดๆ ทุกคืน...
 ปล่อยวางซะบ้างเถอะ จะเอาอะไรกันนักหนากับชีวิต


14. นอนอ้าปาก: ชวนเขา ไปตรวจสุขภาพร่างกายบ้างเถอะ
เพราะ โบราณท่านว่า คนนอนท่านี้ มักจะมีโรคภัยเบียดเบียน
ให้สุขภาพไม่แข็งแรง เดี๋ยวจะพาลอายุไม่ยืนซะเปล่าๆ


15. นอนลืมตา: ถ้าไม่ได้เป็นผลมาจาก ทำตา 2 ชั้น ละก็
ท่านให้ระวัง จะถูกใส่ร้าย ใส่ความ หรืออาจจะ เกิด อุบัติเหตุได้
เตือนๆ ให้ระมัดระวัง รอบคอบ อย่าประมาท ก็แล้วกันนะ 





กระถางต้นไม้กับความพอดีในชีวิต


สมมติว่ามีกระถางต้นไม้อยู่ 2 ใบ ที่มีขนาดเท่ากัน

ใบแรกใส่ดินก้อนใหญ่

ส่วนใบที่สองใส่ดินที่ก้อนเล็กๆ
ถ้าใส่จำนวนก้อนเท่าๆกัน ถามว่ากระถางใบไหนจะเต็มก่อนกัน

         แน่นอนคำตอบที่ได้ก็คงไม่พ้นใบที่ใส่ดินก้อนใหญ่ จากนั้นใส่ดินให้เต็มทั้งสองกระถาง แล้วลองเติมน้ำลงไปเท่าๆกัน ถามว่าน้ำของกระถางใบไหนจะไหลออกจากก้นกระถางหมดก่อนกัน คำตอบที่ได้ก็คงจะไม่พ้นกระถางใบที่ใส่ดินก้อนใหญ่อีกเช่นเคย

แล้วลองมองกลับมาที่ตัวเรา ถ้าเปรียบชีวิตเป็นกระถาง เปรียบสิ่งของเครื่องใช้เป็นดิน เปรียบน้ำเป็นรายได้ของเรา

คุณคิดว่าได้อะไรจากข้อความข้างบน

แน่นอนว่าถ้าดินก้อนใหญ่ เราก็สามารถเติมเต็มชีวิตได้เร็ว แต่เงินทองที่เราหามาได้จะหมดไปอย่างรวดเร็ว ความชุ่มชื้นคงอยู่ได้ไม่นาน ต้องเทนำลงไปบ่อยๆเพื่อรักษาความชุ่มชื้นไว้ ต้องใช้น้ำเป็นจำนวนมาก กว่าจะหล่อหลอมให้ดินเป็นปึกแผ่นเป็นเนื้อเดียวกัน

แต่ถ้าดินก้อนเล็ก กว่าที่ดินจะเต็มกระถางอาจจะใช้เวลานานกว่า แต่น้ำที่เทลงไปจะคงอยู่ในกระถางได้นานกว่า รักษาความชุ่มชื้นไว้ได้นานกว่า โอกาสที่จะเป็นปึกแผ่น เป็นเนื้อเดียวกันสามารถทำได้ง่ายกว่า

ถ้าคนเรารู้จักประมาณตน ไม่ใช้สิ่งของที่เกินกำลัง(ไม่ยึดติดกับวัตถุ) ก็คงจะดี จริงมั้ย

ถ้าคิดจะใช้ดินก้อนใหญ่ ก็ต้องหาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ แต่ถ้าแหล่งน้ำเล็กก็คงจะเดือดร้อนแน่นอน